เรายังมีเวลาเหลือมากน้อยแค่ไหนในการแก้ไขวิกฤติภูมิอากาศ ขณะที่แต่ละประเทศกำลังแก้วิกฤตินี้แข่งกับเวลา ความรุนแรงของสภาพอากาศก็ยังคงคืบคลานเข้ามาอย่างน่ากลัว
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้เตือนว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ถึงแม้ว่าเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ตาม แต่การประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกสมัยที่ 25 หรือ COP 25 ก็ได้ร้องขอให้ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศยกระดับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดให้มีความท้าทายมากขึ้น ภายในปี พ.ศ. 2563 และต้องบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593
จากรายงานช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยสหประชาชาติ (Emission Gap Report)
ได้นำเสนอเช่นกันว่า แต่ละประเทศจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และยกระดับการดำเนินงานของการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดเพิ่มขึ้น 5 เท่า เพื่อหยุดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามที่วางไว้
นักวิทยาศาสตร์ สื่อมวลชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และหน่วยงานรัฐบาลต่างพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาหลายทศวรรษ และพบว่าในปี พ.ศ. 2561 เป็นปีที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด [ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ] ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นภาวะวิกฤติสภาพภูมิอากาศในปี พ.ศ. 2562
ในปี พ.ศ. 2393 – 2443 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 1.1 องศาเซลเซียส ตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ซึ่งองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกยังได้กล่าวอีกว่าปี พ.ศ. 2562 เป็นปีที่ร้อนเป็นที่สองในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2423 รองจากปี พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุด ความร้อนไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความเป็นกรดของน้ำทะเล ฝนที่ตกไม่เป็นฤดู และอากาศที่แปรปรวนอย่างสุดขั้วก็ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ไหนบนโลกนี้ ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศเช่นเดียวกันไม่มากก็น้อย
ประเทศไทยเอง ก็ถูกจัดเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 22 ของโลกในปี พ.ศ. 2561 และเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติภูมิอากาศที่รุนแรงเป็นอันดับที่ 10 ของโลกในปี พ.ศ. 2560 เรายังเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงหลายครั้ง ทั้งฤดูแล้งที่ยาวนาน ฝนตกไม่ตามฤดู อุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สุขภาพของประชาชน และความหลากหลายทางชีวภาพ
การประชุม COP 25 จัดขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่ประเทศสเปน เพื่อตรวจสอบและทบทวนการดำเนินงานตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศสมาชิก โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้นำของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้
ผลการประชุม COP 25 ที่สำคัญคืออะไรบ้าง
เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้จัดประชุมเพื่อเผยแพร่ผลและการอภิปรายที่สำคัญจาก COP 25 ซึ่งมีประเด็นต่างๆ ได้แก่ การเจรจาเกี่ยวกับปัญหาที่ยังค้างอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกฎเกณฑ์ระบบการซื้อขายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนานาชาติ (บทความ 6 ของความตกลงปารีส) แต่จากการประชุม COP 25 ยังไม่สามารถสรุปได้
ผลที่ได้จากการอภิปรายเกี่ยวกับการดำเนินงานและการสนับสนุนด้านการสูญเสียและความเสียหายจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศในประเทศต่าง ๆ นั้นยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งบทความสรุปสุดท้ายได้ลบข้ออ้างอิงที่กล่าวถึงภาระผูกพันทางการเงินของประเทศที่พัฒนาแล้วออกทั้งหมด
COP 25 ได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น ‘Blue Cop’ เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักของผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมหาสมุทร จากรายงานพิเศษของคณะทำงานระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เกี่ยวกับมหาสมุทรและหิมะในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิน้ำในมหาสมุทรของเรานั้นร้อนขึ้น มีสภาพเป็นกรดมากขึ้น มีการผลิตอาหารน้อยลง ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น และมีภัยพิบัติชายฝั่งมากขึ้น รายงานนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ที่จะผนวกเข้ากับความรู้ท้องถิ่น เพื่อนำมาพัฒนาตัวเลือกสำหรับการจัดการความเสี่ยงและการเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การประชุมแผนปฏิบัติการเรื่องเพศภาวะ (Gender Action Plan หรือ GAP) ซึ่งเป็นแผนใหม่ 5 ปี เน้นการสนับสนุนการดำเนินการในเรื่องเพศภาวะ ถือเป็นการประชุมที่ประสบความสำเร็จในการประชุม COP 25 ซึ่ง และได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการ UNFCCC แล้ว โดยผลสรุปจากการประชุมมุ่งเน้นไปที่การดำเนินการมากขึ้น และขยายผลการแก้ปัญหาเรื่องเพศภาวะอย่างเป็นธรรมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยบรรลุผลอะไรบ้าง
นายวราวุธ ศิลปอาชา ได้ประกาศในการประชุม COP 25 ว่า “ … ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ 14 ในภาคพลังงานและการขนส่งในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศจากที่ได้ตั้งไว้ร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับการดำเนินธุรกิจตามปกติ (BAU) เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับการดำเนินการหลังปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยกำลังดำเนินการเสริมสร้างระบบให้เข้มแข็ง สร้างขีดความสามารถและวางโครงสร้าง เพื่อกำหนดทิศทางกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายความตกลงปารีส …”
ประเทศไทยมีนโยบายด้านสภาพอากาศอะไรบ้าง เพื่อช่วยประเทศและประชาชนจากวิกฤติภูมิอากาศ
ประเทศไทยตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้มีการดำเนินการด้านนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยร่วมมือกับหน่วยงานราชการไทยที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานพัฒนาระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคเอกชนอีกด้วย
ตัวอย่างนโยบายที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีดังนี้
- แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (พ.ศ. 2558-2593)
- การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดของประเทศไทย
- แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (พ.ศ. 2564-2573)
- แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
- แผนปฏิบัติการการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขา
แผนงานเหล่านี้จะเกิดผลก็ต่อเมื่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปบังคับใช้ และผลักดันสู่การปฏิบัติ รวมถึงความร่วมมืออย่างรอบด้านจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และพลเมือง
เรามั่นใจได้อย่างไรว่า จะมีการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติสภาพภูมิอากาศในภาคส่วนต่างๆ ได้จริง
ปัจจุบัน สผ. กำลังอยู่ในระหว่างการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก GIZ (ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมัน) และรัฐบาลของสหราชอาณาจักร ร่างฉบับแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี พ.ศ. 2563 นอกจากนี้ สผ.จะมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกทางการเงิน โดยมีการจัดตั้ง Climate Initiative (ThaiCI) เพื่อสนับสนุนเงินทุนเพื่อการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับอนุภูมิภาคและภาคเอกชน ผ่านกองทุนสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่แล้ว
ประเทศไทยมองไปไกลแค่ไหน
สผ. กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของประเทศ แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีความสอดคล้องกับแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 ที่ได้รับการอนุมัติไปในปี พ.ศ. 2557 และได้ร่างขึ้นตามแผนที่นําทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
นายอนุสนธิ์ ชินวรรโณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นในระหว่างการประชุมเพื่อเผยแพร่ผลและการอภิปรายที่สำคัญจาก COP 25 เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563 ว่า “ประเทศไทยอาจอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทั้งประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าประเทศไทย และประเทศพัฒนาแล้ว เราจะต้องเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้”
“จากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 อาจส่งผลให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศจากสหรัฐอเมริกาลดลง และ ยังมีความหวั่นเกรงว่าอาจมีประเทศอื่นๆ ถอนตัวออกไปเช่นกัน”
ประเทศไทยกำลังรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศเพียงลำพังหรือไม่
เนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาระดับโลก ไม่ว่าประเทศใดก็ได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย ดังนั้นความร่วมมือในระดับนานาชาติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลายประเทศให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆ ในหลายรูปแบบ เช่น การสนับสนุนด้านการเงิน การให้ความรู้ด้านเทคนิค การสร้างขีดความสามารถ หรือเทคโนโลยี เป็นต้น ประเทศเยอรมนีเป็นประเทศหนึ่งที่เสนอให้ความช่วยเหลือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยและประเทศเยอรมนีมีความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมานานถึง 10 ปี ผ่าน GIZ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมัน
ในระหว่างการประชุมเพื่อเผยแพร่ผลและการอภิปรายที่สำคัญจาก COP 25 มร.ทิม มาเลอร์ ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทยและมาเลเซีย กล่าวว่า“ …การเจรจาระหว่างประเทศควรให้คำแนะนำและกำหนดกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อเข้าใจสถานการณ์ของประเทศได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องความต้องการและความสามารถในการรับมือ GIZ ให้การสนับสนุนการทำงานของ สผ. และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการผ่านกระบวนการสร้างขีดความสามารถภายในหน่วยงาน การประชุม COP 25 แสดงให้เห็นว่า การเจรจาต่อรองเรื่องสภาพภูมิอากาศยังคงมีความสำคัญ และปัจจุบันมีความสำคัญยิ่งขึ้น เนื่องจากความพยายามของแต่ละประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายสภาพภูมิอากาศโลกตามข้อตกลงปารีส และเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนประเทศไทยในความร่วมมือนี้…”
การเจรจาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563
ความร่วมมือในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหน่วยงานรัฐบาลระหว่างประเทศ ภาคส่วน ระดับชาติ ไปจนถึงระดับนานาชาติเป็นสิ่งสำคัญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ร่างกฎหมายหรือกำหนดนโยบายออกมาเพื่อช่วยโลกและประชาชนจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศนี้ ดังนั้นการบังคับใช้กฏหมายการปฏิบัติตามจากทุกภาคส่วน และความร่วมมือจากประชาชนทุกคนล้วนเป็นพลังขับเคลื่อนในการแก้วิกฤติภูมิอากาศ