เกษตรกรข้าวไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะอยู่อย่างไร เมื่อเกิดน้ำท่วม น้ำแล้ง
นางสาวชมพูนุช ส่งข่าว นักวิชาการสิ่งแวดล้อมชำนาญการ ผู้แทนกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวในการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อแนวทางการปรับตัวของระบบเกษตรที่มีข้าวเป็นหลักในพื้นที่กลุ่มจังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคตว่า “สผ. ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบาย และระดับพื้นที่ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยร่วมกันศึกษาถึงผลกระทบต่อระบบเกษตรและร่วมกันหาแนวทางการปรับตัวในพื้นที่นำร่องของเจ้าพระยา ซึ่งดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับโครงการสนับสนุนการจัดทำแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติการจัดการความเสี่ยง (Risk NAP) ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA START) และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยสิ่งที่เราได้เข้าใจมากขึ้นจากการศึกษาเกี่ยวกับการประเมินความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่วมกับปัจจัยด้านสังคม – เศรษฐกิจ คือผลกระทบต่อผลผลิตของระบบการเกษตรในแต่ละระบบนิเวศ ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่ของเกษตรกรมีการประเมินว่าลุ่มน้ำเจ้าพระยาอาจมีฝนตกหนักมากขึ้น พายุมีความรุนแรงขึ้น และอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิต และการดำรงชีวิตของเกษตรกร”
ตัวแทนเกษตรกรจากพื้นที่นำร่องใน 6 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา ผู้กำหนดและขับเคลื่อนนโยบายภาคการเกษตรและการจัดการน้ำ เข้าร่วมรับฟังผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงของระบบนิเวศเกษตรต่างๆ ความเสี่ยงของเกษตรกร และได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อเสนอเกี่ยวกับทิศทาง เป้าหมาย และทางเลือกการปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ข้อเสนอที่พิจารณาเงื่อนไขด้านเศรษฐกิจสังคมและภูมิอากาศทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่ทางโครงการฯ นำเสนอต่อที่ประชุมได้แก่ การลดพื้นที่และลดรอบการปลูกข้าว ปลูกข้าวคุณภาพที่มีมูลค่าสูง และการปลูกพืชทางเลือกเกษตรผสมผสานรวมทั้งการพัฒนาระบบชลประทานขนาดเล็ก
ผู้เข้าร่วมประชุมได้ให้ความคิดเห็นและข้อคิดจากมุมมองที่หลากหลาย เช่น ชาวนาข้าวไม่มีความรู้และประสบการณ์ปลูกพืชผสมผสานเพียงพอ บางพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกพืชชนิดอื่น นโยบายต้องให้เหมาะสมตามพื้นที่ที่แตกต่างกัน นโยบายสนับสนุนปลูกพืชชนิดอื่นแทนข้าวไม่เพียงพอ ระยะเวลาของการพยากรณ์อากาศล่วงหน้าไม่เพียงพอและไม่แม่นยำต่อการเตรียมพร้อม การเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูกอาจไม่ได้รับการเห็นชอบจากเจ้าของที่ดินอาจไม่ยินยอมให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่จากปลูกข้าวมาปลูกพืชอย่างอื่น ทิศทางของนโยบายไม่สอดคล้องและไม่ต่อเนื่อง ทั้งการตลาด การวิจัย การสนับสนุนการปลูก การจัดการน้ำ เป็นต้น
ข้อเสนอและความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุมจะถูกนำไปวางแผนระยะยาว เพื่อให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการพัฒนาและขับเคลื่อนกลไกเพื่อรับมือกับผลกระทบและบรรเทาความเสียหาย เช่น การเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อรับน้ำ เป็นต้น
คุณไฮน์ริช กุเดนุส ผู้อำนวยการโครงการฯ กล่าวว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่า ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นอาจสร้างแรงกดดันต่อผลผลิตและระบบการเกษตรในพื้นที่ GIZ จึงสนับสนุน สผ. ในการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเข้าสู่กระบวนการวางแผนในระดับพื้นที่ ภาคเกษตรเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญซึ่งเราทำงานร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการรับมือและสามารถปรับตัวกับผลกระทบในอนาคตรวมถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศโลกได้
การวิเคราะห์ความเสี่ยงและศึกษาแนวทางการปรับตัวของระบบการผลิตข้าวในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี) ดำเนินการโดย SEA START RC และคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สผ. และ GIZ ผ่านโครงการ Risk NAP