ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493-2558 โลกของเราได้สร้างขยะพลาสติกจำนวน 6.3 พันล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 9 ถูกนำไปรีไซเคิล และร้อยละ12 ถูกนำไปเผาทิ้ง และอีกร้อยละ 80 ที่จะถูกสะสมในหลุมฝังกลบหรือในธรรมชาติ ซึ่งบ่อยครั้งก็จะถูกทิ้งอยู่ในมหาสมุทร ปัจจุบันขยะพลาสติกประมาณ 8-12 ล้านตันถูกทิ้งในมหาสมุทรทุกปี ซึ่งทำให้พลาสติกครองอันดับ 1 ในการสร้างมลพิษในทะเลและมหาสมุทร
ครึ่งหนึ่งของขยะพลาสติกบนบกมาจาก 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย มลพิษจากพลาสติกในทะเลเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าทะเลด้วย นอกจากนี้ มลพิษจากพลาสติกยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากบางครั้งเราบริโภคอาหารทะเล เช่น ปลาหรือหอย และพบว่ามีพลาสติกปะปน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสะสมสารเคมีในร่างกายได้ การวิจัยพบว่ามีการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในน้ำประปาและน้ำขวดในหลายภูมิภาค ซึ่งรวมถึงยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย[1]
แล้วเราทำอะไรได้บ้างเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้
เมื่อพิจารณาแล้วว่าพลาสติกเป็นส่วนหนึ่งของวงจรของเสีย แนวทางการแก้ปัญหาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการรวบรวมขยะ การคัดแยก และการรีไซเคิล แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรีไซเคิลพลาสติกไม่สามารถทำได้เพียงพอกับความต้องการในการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นเลย ขณะที่การปรับปรุงการจัดการขยะและการเพิ่มอัตราการรีไซเคิลนั้นยังคงมีความสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ การนำวิธีการนี้มาใช้ร่วมกับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
“มาตรการการแก้ที่ต้นเหตุ มุ่งเป้าไปที่การลดปริมาณขยะ ในขณะที่ที่ผ่านมาพยายามแก้ไขปัญหากับขยะที่มีอยู่ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงมีการระบุขั้นตอนของวงจรวัสดุและลำดับชั้นของเสียที่แตกต่างกัน” Clara Loew นักวิจัยจาก Öko Institute ซึ่งเป็นคลังความคิด (think tank) ในการนำนิเวศวิทยามาประยุกต์ใช้กับโครงการการทำงานร่วมกันเพื่อการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (CAP SEA) กล่าว
ทำไมมาตรการการแก้ที่ต้นเหตุจึงสำคัญ
หลายคนอาจเคยได้ยินคำพูดนี้อยู่บ่อยครั้ง “เมื่อบ้านของคุณน้ำท่วม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะใช้ไม้ถูพื้น ถ้าคุณไม่ปิดก๊อกน้ำเสียก่อน” แล้วเราจะปิด “ก๊อกน้ำ” ได้อย่างไร ประเด็นของขยะพลาสติกก็เช่นเดียวกัน แล้วเราจะลดปริมาณพลาสติกที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดได้อย่างไร คำตอบ คือ มีแนวทางที่แตกต่างกันมากมาย และขณะนี้โครงการ CAP SEA กำลังสนับสนุนให้ประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียดำเนินมาตรการการแก้ที่ต้นเหตุ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
- การออกแบบเพื่อการรีไซเคิล: แนวทางหนึ่ง คือ ควรตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าพลาสติกที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ (เช่น ขวดน้ำดื่มพลาสติก) ง่ายต่อการรีไซเคิลหรือไม่ เพื่อให้พลาสติกรีไซเคิลเข้าสู่กระบวนการหมุนเวียน นำกลับมาใช้ใหม่ได้มากขึ้น แล้วอะไรที่ทำให้ผลิตภัณฑ์พลาสติกง่ายต่อการรีไซเคิล โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยโพลิเมอร์หนึ่งชนิดสามารถรีไซเคิลได้ง่ายกว่าการมีวัสดุอื่นๆ มาผสม (เช่น ซอง) แต่เมื่อรวมกับข้อกำหนดของวัสดุรีไซเคิล (ในสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป ขวดพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) จำเป็นที่จะต้องมีพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลตรีไซเคิลอย่างน้อยร้อยละ 25 และภายในปี 2573 ที่ร้อยละ 30) จะช่วยลดการใช้พลาสติกใหม่ได้ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไปได้ระดับหนึ่ง เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้มากขึ้น โครงการ CAP SEA จึงร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ผู้แทนจากโรงงานอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พัฒนาการออกแบบเพื่อสร้างมาตรฐานการรีไซเคิลในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยโครงการมุ่งเน้นให้มีการหารือกับคณะทำงานด้านเทคนิคและการนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากลจากยุโรปผ่านการศึกษา การให้คำแนะนำทางเทคนิค และการเสริมสร้างศักยภาพให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีแผนที่จะแนะนำมาตรฐานสำหรับการรีไซเคิลและการออกแบบสำหรับการรีไซเคิลเพิ่มเติม โดยมุ่งเป้าไปที่การแนะนำมาตรฐานของฉลากเขียวที่ดำเนินงานโดยความสมัครใจในประเทศไทยและมาเลเซีย
- การใช้ซ้ำ: ขยะบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดขยะในทะเลในรูปของพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง สามารถลดลงได้โดยการหันมาใช้เครื่องดื่มและภาชนะบรรจุอาหารแบบใช้ซ้ำ และการใช้ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน เช่น แชมพู ผงซักฟอกแบบเติม (รีฟิล) ก็จะเป็นการลดปริมาณขยะพลาสติกได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันตลาดหรือร้านค้าที่ให้บริการเติม (รีฟิล) ก็เริ่มมีแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งช่วยผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาใช้วิธีนี้แทนการซื้อบรรจุภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องการบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ ที่นำเสนอทางเลือกอื่นแทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเพิ่มเติม ด้วยเหตุนี้ โครงการ CAP SEA จึงร่วมกับ ENVIU ทำธุรกิจสตาร์ทอัพ 2 แห่งในประเทศมาเลเซียที่จะให้บริการด้านแอปพลิเคชั่นการใช้ซ้ำ และยังให้การสนับสนุนเทศบาลชาห์อาลัม (Shah Alam) ในประเทศมาเลเซีย และเทศบาลนครภูเก็ตในประเทศไทยในการพัฒนาแผนการดำเนินงานและนโยบายเกี่ยวกับการใช้ซ้ำและลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง สำหรับประเทศอินโดนิเซีย โครงการ CAP SEA ได้ช่วยกำหนดกรอบเงื่อนไขสำหรับภาชนะบรรจุอาหารแบบใช้ซ้ำสำหรับภาคบริการการจัดส่งอาหารแห่งแรกของอินโดนีเซีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการนำร่องในกรุงจาการ์ตา โดยบริษัทที่ให้บริการด้านการจัดส่งอาหารและ ENVIU ได้ร่วมมือกับโครงการพัฒนาภาชนะบรรจุอาหารและสนับสนุนการให้บริการด้านการจัดส่งอาหารในบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน Blue Angel สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ส่งคืนได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อจัดการกับวิกฤติพลาสติกและก้าวไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่ง “โครงการ CAP SEA มาในช่วงจังหวะที่ดีที่รัฐบาลไทยกำลังให้ความสำคัญกับหัวข้อนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโมเดล BCG ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล” ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยกล่าว
โครงการ CAP SEA จะมุ่งมั่นแก้ไขวิกฤติพลาสติกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ตลอดจนรวบรวมแนวทางและกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
[1] SYNTHETIC POLYMER CONTAMINATION IN GLOBAL DRINKING WATER – Multimedia | Orb (orbmedia.org)