ขณะที่ประชาคมโลกกำลังตื่นตัวในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หน่วยงานรัฐของแต่ละประเทศได้ถูกผลักดันให้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อแสดงการมีส่วนร่วม หลังจากการประชุม COP 21 ในปี พ.ศ. 2559 ประเทศภาคีได้ลงนามเข้าร่วมข้อตกลงปารีส โดยประเทศไทยได้ให้สัตยาบันแสดงเจตจำนงการเข้าเป็นภาคีตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2560 เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประชุม COP และการประชุม COP ครั้งที่ 23 นี้ จัดขึ้นที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 6-18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2561 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับ
แผนงานความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไทย-เยอรมัน ด้านนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จัดการประชุมสัมมนาเผยแพร่สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 23 (COP 23) โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุมจำนวน 300 คน ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน และหน่วยงานด้านการศึกษา ซึ่งการประชุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอสรุปผลการประชุม COP 23 และปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ทิศทางการดำเนินงานของประชาคมโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากการประกาศถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจากความตกลงปารีส”
ในช่วงแรกนั้น นายอนุสนธิ์ ชินวรรโณ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ได้สรุปภาพรวมเรื่อง ทิศทางการดำเนินงานของประชาคมโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบจากการประกาศถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจากความตกลงปารีส โดยเน้นในบริบทของประเทศไทยว่า “ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อม เช่น การขาดการสนับสนุนด้านการจัดเงินทุนสนับสนุนด้านภูมิอากาศ ซึ่งขณะนี้เป้าหมายของการระดมทุนยังไม่บรรลุผล ประเทศเล็กๆ รวมถึงประเทศไทยที่ต้องใช้เงินทุนสนับสนุนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจได้รับผลกระทบ และภาคเอกชนอาจได้รับผลกระทบจากเกณฑ์มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการค้าขายสินค้าต่างๆ หากความร่วมมือของทุกประเทศไม่สามารถดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายอุณหภูมิที่กำหนดได้ กรุงเทพฯ ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น”
ต่อมา ดร. อังคณา เฉลิมพงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานกลางอนุสัญญาฯ สำนักงานประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สผ. ได้นำเสนอสรุปผลการประชุม COP 23 ซึ่งมีผลการเจรจาที่สำคัญดังต่อไปนี้
1) ข้อตัดสินใจเรื่อง Talanoa Dialogue สนับสนุนการดำเนินงานของภาคีต่อการบรรลุเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส
2) การกำหนดให้จัดทำแนวปฏิบัติ ที่เรียกว่า Paris Agreement Implementation Guidelines (PAIG) ให้เสร็จภายใน COP 24
3) ข้อตัดสินใจเรื่องการเงินให้กองทุนการปรับตัว (Adaptation Fund) เป็นกลไกภายใต้ความตกลงปารีส เป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาเรียกร้องเพราะเป็นกองทุนที่สนับสนุนการดำเนินงานด้านการปรับตัวของประเทศกำลังพัฒนา
4) ข้อตัดสินใจเรื่องการเกษตรให้มีการหารือและผลักดันภาคเกษตรไปสู่กลไกในเชิงปฏิบัติมากขึ้น
5) ข้อตัดสินใจที่จะเร่งการระดมทุนให้บรรลุ 100,000 ล้าน อเมริกันดอลล่าห์ ภายในปี พ.ศ. 2563
ในช่วงต่อมา มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่อง “การดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของไทยภายใต้ความตกลงปารีส” ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกที่ประธานการประชุมมาจากประเทศหมู่เกาะ คือประเทศฟิจิ ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นการประชุมครั้งแรกหลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีส จึงเป็นที่จับตาของประชาคมโลกว่าจะสามารถรักษาแรงผลักดันทางการเมืองและความร่วมมือของโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้หรือไม่ ปัจจุบันมีประเทศที่ร่วมให้สัตยาบันความตกลงปารีส 174 ประเทศ
ถึงแม้มีการดำเนินการตามข้อตกลงปารีสแล้ว แต่ยังต้องมีการหารือในเชิงลึกถึงแนวปฏิบัติในแต่ละหัวข้อ ได้แก่ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ซึ่งแต่ละประเทศนั้น ที่มีความแตกต่างกัน อาทิ ปีเป้าหมายที่แตกต่างกัน ประเภทการลดก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน ต้องมีหารือว่าจะทำอย่างไรให้การดำเนิน NDC และการติดตามผลเป็นมาตรฐานเดียวกันเป็นต้น