GIZ ดำเนินโครงการหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินงาน โครงการเบรีย (โครงการริเริ่มข้าวที่ดีขึ้นแห่งเอเชีย) จะร่วมมือกับโครงการ อาเซียน SAS (โครงการระบบอาหาร-เกษตรแบบยั่งยืนแห่งอาเซียน) และ RIICE (โครงการสารสนเทศด้วยเทคโนโลยีด้านการสำรวจระยะไกลเพื่อการประกันภัยสำหรับพืช ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่) เสริมสร้างความเข้มแข็งในภาคการผลิตข้าวในระดับภูมิภาคและลดความยากจน
“อาเซียน SAS สร้างความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาวในภูมิภาคอาเซียน และปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างอาเซียน-เยอรมัน ในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศด้านการเกษตรและป่าไม้ (GAP-CC) ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (BMZ)” ดร. ยศวิน กู่แก้วเกษม ผู้รับผิดชอบหลักด้านความเชื่อมโยงตลาดของโครงการอาเซียน SAS กล่าว
ความมั่นคงด้านอาหาร ต้องมีระบบการผลิตที่ยั่งยืน สร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพและเข้าถึงได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนที่เพิ่มมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ โดยอาเซียน SAS มุ่งเน้นกิจกรรมดังนี้
•พัฒนากรอบนโยบายสำหรับภาค เกษตร-อาหาร ที่ยั่งยืน
•ส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตและแนวทางการบริหารจัดการการเพาะปลูกอย่างยั่งยืน
•ส่งเสริมห่วงโซ่มูลค่าในการร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ดร. ยศวิน ยังให้คำปรึกษาเกี่ยวกับห่วงโซ่มูลค่าและการเชื่อมโยงการตลาดแก่โครงการ เบรีย โดยเชื่อว่าการนำพันธมิตรภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการมากขึ้น จะยังประโยชน์แก่เกษตรกรรายย่อยที่อยู่ภายใต้โครงการ โดยเมื่อปีที่แล้ว เบรีย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับโอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล และธนาคารดอยช์แบงก์ โอแลม อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำระดับโลก ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและส่วนผสมอาหาร ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคการผลิตข้าว การเชื่อมโยงตลาด และพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าข้าว และกับจอห์น เดียร์ ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องจักรกลเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับการผลิตข้าว
ในขณะเดียวกัน เบรีย ยังสามารถได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญทางการเงินสำหรับห่วงโซ่มูลค่าทางภาคการเกษตร (Agricultural Value Chain Financing) ของธนาคารดอยช์แบงก์ และจากมาตรฐานข้าวของเวทีการผลิตข้าวอย่างยั่งยืน (SRP) ที่เบรียและโอแลมสนับสนุน อันจะช่วยกำหนดมาตรฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับการผลิตข้าวอย่างยั่งยืนที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อีกด้วย
และเนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ในแต่ละวันเกษตรกรต้องเผชิญกับความเสี่ยงประเภทต่างๆ ดร. ยศวิน ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงทางการเกษตรอีกด้านหนึ่ง ได้อธิบายว่า เกษตรกรอาจลดความเสี่ยงทางการเกษตร ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การกระจายความเสี่ยง การประกันภัยพืชผลการเกษตร เกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ การรวมกลุ่มเกษตรกรหรือจัดตั้งสหกรณ์การปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เป็นต้น
การประกันภัยพืชผลการเกษตร (Crop Insurance) ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการสูญเสีย แต่เกษตรกรยังได้รับโอกาสจากผลตอบแทนที่มั่นคง โดย เบรีย จะร่วมมือกับ RIICE เสริมสร้างความเข้าใจของเกษตรกรเกี่ยวกับการประกันภัยพืชผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าร่วมใน “โครงการนำร่องการประกันภัยโดยใช้ดัชนีประสิทธิภาพการผลิตของพื้นที่” ที่ RIICE จะดำเนินการในจังหวัดอุบลราชธานี และ สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสองจังหวัดที่อยู่ภายใต้การดำเนินโครงการ ของ เบรีย ในประเทศไทย เพื่อให้มีการจัดการความเสี่ยงทางการผลิตที่ดีขึ้น