คำถามที่ถูกตั้งขึ้นในการอบรมเชิงปฎิบัติการเรื่องการเชื่อมโยงสินค้าสู่ตลาดที่ประเทศอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆนี้ ทำให้เกิดการทบทวนว่า ‘โครงการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ไทย’ ที่ทำจบไปแล้วนั้น มีสิ่งไหนที่ทำพลาดหรือขาดหาย
ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำสัปปะรดเข้มข้นอันดับหนึ่งของโลก โครงการฯ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อพัฒนา ปรับปรุง และให้คำปรึกษาแก่โรงงานผลิตน้ำผลไม้นำร่อง 6 แห่ง ซึ่งแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสับปะรดเป็นหลัก ด้านความสะอาด ความปลอดภัย และการประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้นเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารในระดับสากลของภาคพื้นยุโรป (Sure and Global Fair: SGF)
โดยระหว่างการทำโครงการฯ นอกจากจะมีการตรวจสอบการปรับปรุงคุณภาพของโรงงานและขบวนการผลิตอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังได้จัดอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practices: GAP) แก่เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด มีการสำรวจตลาดเพื่อตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ไทย มีการจัดอบรมเชิงปฎิบัติการเพื่อทำความเข้าใจถึงแนวโน้ม รวมถึงประเด็นปัญหา อุปสรรค และความท้าทายในอุตสาหกรรมน้ำผลไม้ไทย โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมกว่าร้อยคนทั้งจากห้องปฏิบัติการ สมาคม และหน่วยงานเอกชนต่างๆ แต่ไม่ได้มีกิจกรรมใดๆ ที่เชิญภาครัฐมามีส่วนร่วมด้วยเลย
โครงการฯ จบลงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2558 ประมาณ 1 ปี หลังจากโครงการฯ จบ มีการติดตามประเมินผลโครงการฯ โดยได้เข้าพบผู้บริหารโรงงานนำร่องจำนวน 4 คน จาก 2 โรงงาน และเกษตรกรจำนวน 6 คน จาก 3 ครอบครัวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพบว่าทางโรงงานได้ปรับปรุงยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของการผลิตน้ำสับปะรดเข้มข้นได้ตามมาตรฐานที่วางไว้ในระดับสากล ซึ่งส่งผลให้เกิดผลดีต่างๆ อาทิ การขยายตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์ รวมถึงการลดความเสี่ยงจากการที่สินค้าถูกตีกลับเนื่องจากไม่ได้มาตรฐาน
คุณสมนึก วันเต็ม จากบริษัท ปราณบุรี โฮเตอิ จำกัด กล่าวว่ารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าจากต่างประเทศ “เหมือนกับว่า เราพูดภาษาเดียวกัน เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา เวลาที่เราสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นตามมาตรฐานสากลได้”
ส่วนทางเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดเอง เล่าว่าได้รับข้อมูลและข้อปฏิบัติในการปลูกที่เหมาะสมจากการตรวจเยี่ยมจากทางโรงงานอย่างสม่ำเสมอ เกษตรกรบางรายได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากโรงงานเพื่อศึกษาต่อในระดับ ปวส. ที่วิทยาลัยเกษตรของจังหวัด
คุณอมรเทพ พุ่มมั่น เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดจากอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เล่าให้ฟังว่า “ทางโรงงานถามผมกับภรรยาว่า สนใจอยากรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีมากขึ้นไหม ภรรยาผมเลยได้ไปเรียนที่วิทยาลัยเกษตรเพชรบุรี โดยโรงงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้หมด และตั้งแต่ที่ภรรยาผมไปเรียนที่วิทยาลัยเกษตร เราก็ได้ลองประยุกต์สิ่งใหม่ๆที่ภรรยาผมได้เรียนมา กับวิธีการปลูกสับปะรดที่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเราสอนเรามา ผลปรากฏว่าเราปลูกสับปะรดได้ในจำนวนที่มากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายในการปลูกน้อยลง และสับปะรดที่เราปลูกมีคุณภาพและได้มาตรฐาน [ตามที่โรงงานต้องการ] เราใช้สารเคมีอย่างปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงน้อยลง ทำให้คุณภาพของดินดีขึ้น แล้วก็ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างในดินหรือสับปะรดด้วย”
ผลการติดตามโครงการฯ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ความกังวลของผู้ประกอบการและเกษตรกรในความไม่แน่นอนในอนาคตของอุตสาหกรรมน้ำสับปะรดเข้มข้นไทยยังคงอยู่ อันเนื่องมาจากหลายปัจจัยที่ปรากฏอยู่ อาทิ ภาวะแล้ง สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ปริมาณผลผลิตสับปะรดที่ไม่แน่นอนในขณะที่ความต้องการจากตลาดโลกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการไม่มีกฎข้อบังคับหรือแผนการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ ซึ่งเป็นความจำเป็นที่ต้องเร่งจัดการ
คุณปทุมพร กิจเถกิง รองประธานบริษัท เถกิงอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋อง จำกัด หนึ่งในโรงงานที่เข้าร่วมโครงการฯ จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยควรมีระบบการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม หรือ “เกษตรโซนนิ่ง” (Agricultural Crop Zoning Systems) ในการปลูกสับปะรด รวมไปถึงการลงทะเบียนเกษตรกร การทำการเกษตรแบบพันธสัญญา (Contract Farming) และการจัดสรรปันส่วนโควต้าการปลูกสับปะรดและการผลิตสับปะรดแปรรูป เพื่อที่จะคาดการณ์ปริมาณ ราคา และคุณภาพของสัปปะรดล่วงหน้าได้
คุณปทุมพรมองว่า ถ้าสามารถทำได้ทุกคนที่เกี่ยวข้องในระบบห่วงโซ่การผลิตจะมีความสุขขึ้น “เกษตรกรก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาวะสับปะรดล้นตลาด ที่ส่งผลให้ราคาต่ำลงอย่างมาก และส่วนโรงงานก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสับปะรดขาดตลาด คุณภาพของสับปะรดที่ไม่ได้มาตรฐาน และราคาสับปะรดที่แพงขึ้นอย่างมาก”
ในการทำ ‘โครงการการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ไทย’ ที่ผ่านมา ถ้าย้อนกลับไปได้ การดึงหน่วยงานของภาครัฐเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ จะเป็นการจัดการกับความท้าทายและปัจจัยต่างๆ ได้อย่างรอบด้านและยั่งยืนยิ่งขึ้น การติดต่อภาครัฐให้เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ช่วงระยะเริ่มต้น ในการวางแผนและพัฒนากิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรและสร้างมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยในการผลิตน้ำผลไม้ของโรงงานเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมาก
ต้องขอขอบคุณการอบรมเชิงปฎิบัติการเรื่องการเชื่อมโยงสินค้าสู่ตลาดที่จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ที่ทำให้เห็น ‘ห่วงโซ่ที่ขาดหาย’ และได้เรียนรู้ในการทำโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้ยั่งยืนต่อๆ ไป
ในการทำ ‘โครงการการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ไทย’ ที่ผ่านมา ถ้าย้อนกลับไปได้ การดึงหน่วยงานของภาครัฐเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ จะเป็นการจัดการกับความท้าทายและปัจจัยต่างๆ ได้อย่างรอบด้านและยั่งยืนยิ่งขึ้น