การใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชไม่ใช่สิ่งใหม่ในประเทศไทย แต่เนื่องจากความนิยมในการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องการใช้ชีวภัณฑ์ฯ รวมถึงการพัฒนาชีวภัณฑ์ฯ ที่ยังไม่มีคุณภาพสม่ำเสมอ จึงทำให้การใช้ชีวภัณฑ์ฯในประเทศไม่เป็นที่นิยม
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ตัวแทนจากภาครัฐและเอกชนได้เข้าร่วมประชุมการพัฒนาแผนปฏิบัติการของไทยเพื่อการส่งเสริมชีวภัณฑ์ฯ และกล่าวเน้นว่าควรให้ความสำคัญ และสนับสนุนชีวภัณฑ์ฯ ในฐานะ “ทางเลือกสีเขียว” ที่จะมาทดแทนการใช้ผลิตภัณฑ์เคมี เพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพของเกษตรกรและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชีวภัณฑ์ฯ เป็นวิธีธรรมชาติที่ใช้ควบคุมศัตรูพืชและโรคในพืช
กรมวิชาการเกษตรสังกัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ โครงการระบบอาหาร-เกษตรแบบยั่งยืนแห่งอาเซียน ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินงานโดย GIZ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญไทยจำนวน 35 รายจาก 15 สถาบันเพื่อหารือถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขต่ออุปสรรคในการใช้ชีวภัณฑ์ฯ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานเพื่อส่งเสริมชีวภัณฑ์ฯในประเทศ ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 3 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ บริษัทแอพพลายเค็ม (ประเทศไทย) บริษัทเทพวัฒนา และ บริษัทผลิตภัณฑ์สะเดาไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ฯให้แพร่หลายยิ่งขึ้น
คุณวินัย รัชตปกรณ์ชัย ผู้จัดการด้านการพัฒนาทางธุรกิจ บริษัท เทพวัฒนา จำกัด กล่าวถึงปัญหาการใช้ชีวภัณฑ์ฯว่าเกษตรกรอาจไม่เข้าใจในส่วนประกอบชีวภัณฑ์ฯ ที่ระบุบนฉลากควบคุม เช่น CFU หรือ IU ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตต่างๆต้องระบุส่วนประกอบในปริมาณสูงเพื่อให้เข้าใจว่าชีวภัณฑ์ฯ ของตนมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเนื่องจากหน่วยวัดที่ใช้ต่างกัน และยังได้เรียกร้องให้ภาครัฐกระตุ้นเกษตรกรให้เกิดความตระหนักและเข้าใจการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมฯมากขึ้น
คุณอารีย์พันธุ์ อุปนิสากร ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ย้ำว่า ในการอบรมทั้งของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต้องให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันความสับสนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในหมู่เกษตรกร ร่างฉบับสุดท้ายของแผนปฏิบัติการของไทยซึ่งจะรวมกิจกรรมที่ภาครัฐและภาคเอกชนดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ฯในช่วงระหว่างปี 2559 ถึง 2561 นี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม ปี 2559 และจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการโดยกรมวิชาการเกษตร ซึ่งถือเป็นการแสดงการมีส่วนร่วมของประเทศไทยใน ‘แผนนโยบายบูรณาการความมั่นคงด้านอาหารอาเซียน’ เพื่อไปนำสู่ความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
โดย รจนา มโนวลัยเลา และ ปทมศิริ หุ่นทอง โครงการระบบอาหาร-เกษตรแบบยั่งยืนแห่งอาเซียน