หลังจากประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปีพ.ศ. 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปีพ.ศ. 2608 ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP 26) ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในฐานะหน่วยประสานงานกลางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (National Focal Point) ร่วมกับโครงการด้านนโยบาย ภายใต้แผนงานความร่วมมือไทย – เยอรมัน ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ได้จัดการประชุมสัมมนา “COP26 Debrief : อนาคตโลก อนาคตไทย” เพื่อเผยแพร่และสรุปผลการประชุม COP 26 อันจะนำไปสู่การสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจในวงกว้าง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16ธันวาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ณ ห้องบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ เพื่อสร้างความตื่นตัวในสังคม และพยายามให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกัน จากระดับนโยบายไปสู่การปฎิบัติที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น
การประชุมครั้งนี้ ได้เปิดเวทีให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด ทิศทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย โดยในช่วงการเสวนาได้รับเกียรติจากผู้แทนหน่วยงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ประกอบด้วยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาชน สื่อมวลชน และองค์กรอิสระ กว่า 300 คน
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยเน้นย้ำว่า ถึงแม้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพียงร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับทั่วโลกแต่ไทยกลับเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหนักหนาที่สุด ทั้งอุทกภัย ภัยแล้ง รวมถึงระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมกับประชาคมโลกในการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นอีกถือเป็นเรื่องที่นานาชาติมีความตื่นตัวและให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนเพื่อลดผลกระทบรุนแรงดังกล่าว ประเทศไทยจึงได้ประกาศเจตจำนงในการเข้าสู่สถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608 และได้กำหนดเป็นแผนระยะยาวในดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้จริง หรือที่เรียกว่าแผนระยะยาวในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ (Long-term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy หรือ LTS) สำหรับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากจะเป็นหน่วยประสานงานกลางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยแล้ว ยังมีภารกิจสำคัญในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Sink โดยการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวของประเทศให้ได้ร้อยละ 55 ตามที่กำหนดไว้ในกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี “การทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีทั้งภาคการดูดซับ และภาคการปลดปล่อย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลเรื่องภาคการดูดซับ แต่อีกหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอีกหลายภาคส่วน เป็นหน่วยงานที่สำคัญที่จะต้องมาช่วยกันดูแลเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากการดำเนินการของภาคดูดซับตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะส่งผลให้ประเทศมีศักยภาพในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ 120-150 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า แต่วันนี้เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการผลิตอยู่ 350 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ดังนั้นจึงยังมีช่องว่างที่เราต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง จึงเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่จะต้องร่วมกันลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก … การทำงานจากนี้ไป ทุกภาคส่วนจะต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน”
จากเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนในงาน เป็นเรื่องที่น่ายินดีว่าขณะนี้หลายหน่วยงานได้เริ่มขับเคลื่อนงานกันอย่างแข็งขันแล้ว ประเทศไทยได้บรรลุแผนการดำเนินระยะสั้น ซึ่งก็คือ แผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (Nationally Appropriate Mitigation Action: NAMA) โดยลดได้ร้อยละ 17 ในภาคพลังงานและภาคขนส่ง ในปี พ.ศ. 2562 ปัจจุบันไทยอยู่ในช่วงแผนระยะกลาง (ปีพ.ศ. 2563 – 2573) ที่เรียกว่า ‘การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด’ หรือ Nationally Determined Contributions (NDCs) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญเพื่อบรรลุความตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยไทยได้ยกระดับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทายขึ้นเป็นร้อยละ 20 -25 และเพิ่มมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคการกำจัดของเสีย และภาคอุตสาหกรรมการผลิตเข้ามาด้วย
ด้านกระทรวงพลังงาน ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนพลังงานแห่งชาติ วางนโยบายใหม่ เพื่อเปลี่ยนผ่านพลังงานไทย สู่ยุค Energy Disruption ด้วยสูตร 4D + 1E คือ Decarbonization การลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ใช้ถ่านหินลดลง เพิ่มการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ชีวมวลและชีวภาพ Digitalization การนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สนับสนุนการยกระดับโครงข่ายไฟฟ้าให้เป็น Smart Grid สนับสนุนการพัฒนา Energy Storage สร้างเสถียรภาพให้กับโรงไฟฟ้าชุมชนและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ตลอดจนผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานอาเซียน De-Regulation การปลดล็อกกฎระเบียบ เช่น ในการผลิตและซื้อขายไฟฟ้า เพื่อช่วยลดต้นทุนให้พลังงานที่ผลิตจากประชาชนสามารถเข้าสู่ Grid ได้ Decentralization การมอบอำนาจให้กับภาคส่วนต่างๆ ในท้องถิ่นให้บริหารจัดการพลังงานกันเองได้ และ Electrification การผลักดันให้ทุกอย่างเป็นระบบไฟฟ้ามากขึ้น ส่งเสริมและขยายระบบโครงข่ายรถไฟฟ้า และส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ในขณะที่ภาคการคมนาคมและการขนส่งได้แสดงความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อบริหารจัดการการเดินทางสำหรับประชาชนและการขนส่งสินค้าด้วยระบบรางและทางน้ำ
นอกจากนี้ การขับเคลื่อนให้ประเทศไปสู่สังคมสีเขียว หรือสังคมคาร์บอนต่ำ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการของประชาคมโลกในการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ จำเป็นที่จะต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐและเอกชน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีนโยบายและมาตรการสนับสนุนการลงทุนพลังงานสีเขียว และการลงทุนด้านการคมนาคมขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการผลิตสินค้าและบริการเพื่อรองรับการลงทุนภายในประเทศและจากต่างประเทศ รวมถึงสนับสนุนการลงทุนปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตในภาคเอกชนให้สอดคล้องกับมาตรฐานและมาตรการของนานาชาติในเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งจากการออกมาตรการงดเว้นภาษีสำหรับการลงทุนด้านพลังงานทางเลือก ด้านเทคโนโลยีเก็บกักก๊าซเรือนกระจกสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายใหญ่มาลงทุนช่วยเกษตรการรายย่อยเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร เช่น การปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ การส่งเสริมการลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ทั้งจักรยานไฟฟ้า ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า การผลิตแบตเตอรี่ รวมถึงการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ในส่วนของภาคการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักถึงบทบาทสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยนโยบายทางการเงิน ผ่านทางธนาคารพาณิชย์ ตลาดทุน และธุรกิจประกันภัยต่าง ๆ ต้องเอื้อให้เกิดการปรับเปลี่ยนการลงทุนของภาคเอกชนไปสู่ธุรกิจสีเขียวได้ง่ายขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดทำแนวทางการพัฒนาภาคการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance Initiatives for Thailand) และจะมีการออกแบบ Financial Landscape ของไทยภายในต้นปี พ.ศ. 2565 เพื่อมุ่งสู่ Digitalization และ Green Finance ในภาคการเงิน ทั้งนี้ในการดำเนินการ จำเป็นต้องมีการกำหนดนิยามและจัดหมวดหมู่โครงการหรือกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน (Taxonomy) เพื่อให้ผู้กำกับดูแลใช้อ้างอิงในการออกนโยบายสนับสนุนการเงินให้สอดคล้องกัน และให้ผู้ประกอบธุรกิจการเงินนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งทำให้ต้องมีฐานข้อมูลที่จะสนับสนุนในการกำหนดคำนิยาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะขับเคลื่อนร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินจำเป็นต้องผนวกการวิเคราะห์ความเสี่ยง ผลกระทบ และผลประโยชน์จากด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้สามารถกำหนดกลไกราคา และเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจอย่างเหมาะสมในการส่งเสริมธุรกิจที่ยั่งยืนขึ้นและลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้ให้ความสำคัญกับการสร้างศักยภาพความพร้อมและความตระหนักรู้ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย โดยผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทยได้เน้นย้ำว่าการมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกันจะช่วยให้ภาคการเงินสามารถมีส่วนสนับสนุนการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“หลังจากงานวันนี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จะประสานและดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในทุกรูปแบบ เพื่อให้การดำเนินงานของประเทศไทยประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ต่อไป ทั้งเรื่องการดูดซับและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวอย่างมุ่งมั่น
ดร.พิรุณยังเสริมอีกว่า อีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยประสบความสำเร็จตามเป้าได้ คือ การเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งเป็นกลไกการจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในกิจกรรมด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงกลไกการดำเนินการ ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพ การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีในการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนประเทศเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศที่เริ่มดำเนินการกันมากพอสมควรแล้ว แต่จะต้องยกระดับมาตรฐานของตลาดคาร์บอนของไทยให้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ สามารถใช้ทดแทนการซื้อคาร์บอนเครดิตจากตลาดต่างประเทศในการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้า เช่น มาตรการชดเชยการปล่อยคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Measure: CBAM) ที่ออกโดยสหภาพยุโรป รวมถึงยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของภูมิอาเซียน เป็นต้น
ดร. ณัฏฐนิช อัศวภูษิตกุล ผู้อำนวยการกองประสานการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำเสนอสรุปผลการประชุม COP26 ภายใต้ข้อตกลงปารีส เมื่อปีพ.ศ. 2558 โดยผลสำเร็จสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือ Glasgow Climate Pact ซึ่งทุกประเทศที่เข้าร่วมประชุมเห็นชอบร่วมกันที่จะมุ่งการดำเนินงานรวมทั้งการให้การสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทศวรรษนี้ โดยประเทศต่าง ๆ ถูกผลักดันให้ยกระดับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อรักษาอุณหภูมิของโลกไม่ให้เพิ่มเกิน 2 องศาเซลเซียส และให้พยายามตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อที่จะป้องกันหายนะทางสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนจนกระทั่งถึงเป้าหมายเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ.2593
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้ลดการใช้ถ่านหินและยุติการเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประเด็นดังกล่าวถูกระบุไว้ในข้อตกลงสหประชาชาติ อีกหนึ่งประเด็นที่หารือ คือ การกำหนดกรอบระยะเวลาการดำเนินงานและเป้าหมาย NDC ให้กับทางอนุสัญญาฯ ทุกๆ 5 ปี โดยหลังจากปีพ.ศ. 2583 ทุกประเทศจะต้องมีกรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่ตรงกัน เพื่อให้การประเมินสถานการณ์ดำเนินงานระดับโลก หรือ Global Stocktake (GST) เกิดประสิทธิภาพ
อีกประเด็นสำคัญ คือ กรอบในเรื่องความโปร่งใส (Transparency Framework) ในการติดตามตรวจสอบข้อมูลในส่วนของการรายงานข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกระดับประเทศ รายงานข้อมูลการสนับสนุนด้านการเงิน เทคโนโลยี และการสร้างเสริมศักยภาพ และรายงานข้อมูลเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามเป้า NDCs รวมถึงวิธีการทวนสอบข้อมูลที่แต่ละประเทศส่งไป นอกจากนี้ ยังตกลงกันในประเด็นเรื่องการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตโดยสมัครแบบทวิภาคีระหว่างประเทศ กฏ กติกาสำหรับกลไกการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือที่ไม่ใช้กลไกตลาด
การเจรจาในครั้งนี้ ยังได้ข้อตกลงกลไกด้านการเงิน กล่าวคือ ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วเร่งระดมเงินทุนระหว่างปีพ.ศ. 2564-2568 ให้ได้ปีละ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันยังมีการระดมทุนได้เพียง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะมีการจัดตั้ง Ad Hoc Work Programme เพื่อหารือเป้าหมายทางการเงินใหม่หลังปีพ.ศ. 2568 การระดมทุนในการดำเนินงานด้านการปรับตัวให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า และการบูรณาการระหว่างกลไกทางการเงินและกลไกด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตาม NDCs ของประเทศกำลังพัฒนา
ด้านนายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย กล่าวว่า “การบริหารจัดการเศรษฐกิจกับการบริหารจัดการนิเวศวิทยา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และสิ่งแวดล้อม อาจฟังดูขัดแย้งกัน แต่นับจากนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป ราคาของการที่จะไม่ทำอะไรเลย มันแพงกว่าการที่จะทำอะไรบางอย่าง การลงมือทำในวันนี้ อาจจะดูเหมือนสาย แต่ไม่สายเกินไปแน่นอน”
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา เยอรมนีและไทยมีความร่วมมือในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเยอรมนีให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกันในหลายโครงการ และในปีหน้าก็ได้ให้ทุนสนับสนุนประเทศไทยสูงถึง 1,500 ล้านบาท ซึ่งเงินทุนสนับสนุนจำนวน 200 ล้านบาท จะนำไปพัฒนากองทุนสิ่งแวดล้อมของไทยเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภาคประชาสังคม รวมถึงโครงการในระดับจังหวัดและท้องถิ่นด้วย
“ต้องขอบคุณรัฐบาลเยอรมันที่ให้การสนับสนุนการทำงานกับไทยอย่างเป็นรูปธรรมมาโดยตลอด และเข้าใจคนไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปีหน้า ไทย –เยอรมันจะฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 160 ปีกัน ก็คงจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นระหว่างเราทั้งสองประเทศ” นายวราวุธกล่าว นอกจากนี้ นายวราวุธได้ยังกล่าวถึงความพยายามในการบูรณาการเรื่องความรู้ความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคส่วนการศึกษา โดยจะต้องมีการผลักดันให้คุณครูและบุคลากรทางการศึกษามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ถ่ายทอดไปยังนักเรียนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอนุบาล ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายวราวุธ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “…ท้ายที่สุดแล้ว มาตรการทางสังคม กฎหมาย มาตรการทางภาษี กลไกทางการค้า หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่สิ่งที่จะเป็นมาตรการที่บังคับมนุษย์ได้ดีที่สุดก็คือธรรมชาตินี่เอง เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ถ้าผมพูดว่าขอลดการบินทั่วโลกลงครึ่งหนึ่ง เพื่อลดมลภาวะต่างๆ ทั้งทางอากาศและทางเสียง ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะหัวเราะ และบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่วันนี้ลองดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น พอธรรมชาติสั่งเปรี้ยงเดียว เกิดโควิด สายบินทั่วโลกต้องหยุดบิน… นี่คือ คำสั่งที่ศักดิ์สิทธิ์จากธรรมชาติ… ดังนั้น วันนี้มาตรการต่างๆ ที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ เป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกันทำ ช่วยกันบังคับตัวเราเองก่อน ก่อนที่ธรรมชาติจะมาบังคับเราอีกรอบ”
“ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับความร่วมมือระหว่างไทย–เยอรมันในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราได้มีการแลกเปลี่ยนรู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยีกันมายาวนาน และต่อเนื่อง … นับจากนี้ รัฐบาลจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดำเนินการด้านเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างเป็นธรรม แต่เราก็ต้องการความร่วมมือจากภาคประชาชน ทุกภาคส่วนต้องร่วมช่วยกันออกแบบว่านับจากนี้เราจะใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร เพื่อรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นี่ไม่ใช่ความท้าทายเฉพาะของประเทศไทย หรือเยอรมนี แต่เป็นความท้าทายของทุกคนบนโลกใบนี้” นายเกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย กล่าวทิ้งท้าย
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องมาช่วยกันแก้ “เรา” ทั้งโลกมีเวลาไม่มากแล้วที่จะแก้ไขและเยียวยาสถานการณ์นี้ ทางเดียวที่จะทำให้เราทุกคนรอด คือ การร่วมมือกันทำงานของทุกภาคส่วน ก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องที่กระทบเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้