เศรษฐกิจหมุนเวียนของไทย – โอกาสการลงทุนที่ไม่ควรพลาด
“บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ในตลาดโลกคาดว่าจะเติบโตจาก 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ.2561 เป็น 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปีพ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการลงทุนที่มีศักยภาพมากสำหรับภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างงานและมีประโยชน์ที่ตามมาอีกมากมาย เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงมากสำหรับการทำสตาร์ทอัพรุ่นใหม่เพราะเป็นประเทศที่มีการใช้งานระบบดิจิทัลกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) และกระบวนการรักษาคุณค่า” มร. ไค ฮอฟมันน์ ผู้อำนวยการโครงการของ GIZ
เศรษฐกิจหมุนเวียนของไทย – โอกาสการลงทุนที่ไม่ควรพลาด
เมื่อผู้กำหนดนโยบายของไทยได้ตระหนักว่าการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้กับกระบวนการผลิตและการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ภายใต้หลักการลำดับขั้นของการจัดการขยะ หรือ waste hierarchy (เช่น การลด การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่) สามารถเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหารูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนในปัจจุบันลงได้ ประเทศไทยจึงได้มีการนำเสนอแผนที่นำทาง (Roadmap) ด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561 – 2573 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดหรือยกเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและทดแทนด้วยผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน หรือ GIZ ซึ่งเป็นองค์กรด้านการพัฒนาที่สนับสนุนพันธกิจของรัฐบาลเยอรมนีในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยประเด็นหนึ่งภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ GIZ ประเทศไทย ดำเนินการอยู่นั้น คือ การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production: SCP)
โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนนั้นมีเป้าหมายในการลดปริมาณขยะจากผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โดยเน้นการใช้กลยุทธ์ต้นน้ำในการป้องกันและเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งประกอบด้วยแนวทางดำเนินงานในหลายด้าน ทั้งการให้คำแนะนำเชิงนโยบายเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาขีดความสามารถแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก การจัดทำกิจกรรมนำร่องร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่น และการสนับสนุนโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ที่มีการคิดค้นนวัตกรรมในการป้องกันหรือลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
มร. ไค ฮอฟมันน์ ผู้อำนวยการโครงการด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ได้กล่าวถึงประโยชน์ของโครงการในแง่ของผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและโอกาสในการลงทุน
คุณช่วยอธิบายถึงโครงการด้านการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (SCP) ที่คุณกำลังดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลไทยได้ไหม?
เรากำลังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่ 12 ซึ่งเป็นเรื่องการสร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ที่ครอบคลุมถึงเรื่องฉลากสิ่งแวดล้อม การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวของภาครัฐ (GPP) และเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเฉพาะในเป้าประสงค์ที่ 12.7 ที่ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่ยั่งยืนตามนโยบายและการให้ลำดับความสำคัญของประเทศ ประเทศไทยได้เริ่มใช้กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบ BCG (Bio – Circular – Green Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว) โดยหนึ่งในเป้าหมายของเรา คือ การสนับสนุนประเทศไทยในเสาหลัก C ซึ่งก็คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน โดยเราสามารถร่วมแบ่งปันประสบการณ์ได้ว่าประเทศเยอรมนีได้ดำเนินมาตรการเพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ในสหภาพยุโรป เราได้พัฒนาแผนปฏิบัติการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้น ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยเองก็ได้ดำเนินการในหลายส่วนที่คล้ายคลึงกันและได้ขอรับการสนับสนุนจากเราโดยเฉพาะในเรื่องของการจัดการพลาสติก
หนึ่งในประเด็นที่รัฐบาลไทยต้องการให้เราเข้าไปสนับสนุน คือ แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและลดการใช้บรรจุภัณฑ์และการพัฒนากรอบกฎหมายว่าด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบหมุนเวียนหรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้พระราชบัญญัติ นอกจากนี้ เรากำลังทำการวิเคราะห์ตลาดเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนในแง่ของแรงจูงใจด้านกฎระเบียบ การคลัง และด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนการดำเนินงานด้านการสร้างมาตรฐาน ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่องการออกแบบเพื่อการนำกลับมาใช้ใหม่และการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับบรรจุภัณฑ์เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายขึ้น เช่น มาตรฐานสำหรับภาชนะบรรจุเครื่องดื่ม เป็นต้น อีกทั้งเรายังช่วยพัฒนาแนวทางในการบูรณาการมาตรฐานดังกล่าวเข้าสู่อุตสาหกรรม FMCG (fast-moving consumer goods) หรือกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนการสนับสนุนเกี่ยวกับแนวคิดในการจัดหาและการติดฉลากพลาสติกชีวภาพและพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพอีกด้วย
ในส่วนของการดำเนินงานนำร่องในพื้นที่ต่างๆ เรามีโครงการต้นแบบการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในจังหวัดภูเก็ต โดยทำงานร่วมกับเทศบาลนครภูเก็ตและองค์กรธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งรวมถึงสมาคมโรงแรมภูเก็ต ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง และสตาร์ทอัพไทยที่ผลิตวัสดุทดแทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว โดยเราหวังว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะดำเนินการต่อยอดในการส่งเสริมให้ภูเก็ตเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต่อไป
ประเทศไทยควรใช้กลยุทธ์อะไรในการลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว?
สิ่งสำคัญ คือ ต้องเข้าใจว่าเศรษฐกิจของเราในปัจจุบันเป็นเศรษฐกิจแบบเส้นตรง ซึ่งเป็นการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (virgin plastic) ทำผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวออกมาจำหน่าย และสุดท้ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็กลายเป็นขยะ ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ยั่งยืนและต้นทุนสำหรับความไม่ยั่งยืนนี้ก็จะถูกส่งไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป รวมถึงชุมชนเองด้วย เนื่องจากมหาสมุทรและชายหาดก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ในทางกลับกัน เศรษฐกิจหมุนเวียนมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ในระบบเศรษฐกิจแบบเส้นตรง เรานำเอาวัตถุดิบหรือทรัพยากรมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ และทิ้งมันไปในท้ายที่สุด แต่ในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน เราปิดวงจรของวัตถุดิบ ซึ่งต้องการมากกว่าแค่การนำกลับมาใช้ใหม่มันเป็นการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อวัตถุดิบ โดยหันมาสร้างคุณค่าและให้ความสำคัญต่อวัตถุดิบ รวมถึงรักษาหรือใช้วัตถุดิบนั้นอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้น กระบวนการผลิตจากเดิมที่ไม่ยั่งยืนจะเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น รวมทั้งการใช้โมเดลธุรกิจที่เป็นทางเลือกแบบใหม่เข้ามาร่วมด้วย
แนวทางนี้สามารถประสบผลสำเร็จได้โดยการส่งเสริมการใช้สินค้าเดียวกันต่อจำนวนคนที่มากขึ้น อย่างที่คุณเห็นตัวอย่างจากธุรกิจให้บริการรถเช่าหรือบรรจุภัณฑ์ที่เรานำกลับมาใช้ซ้ำ ปัจจุบันในสหภาพยุโรปและในประเทศไทยเอง ก็ได้มีการยกเลิกการใช้ภาชนะบรรจุเครื่องดื่มที่ทำจากพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และหันมาใช้ภาชนะที่ใช้ซ้ำได้แทน โดยลูกค้านำภาชนะมาเองหรือเป็นการนำกลับไปคืนที่ร้านก็ได้
เราสนับสนุนการพัฒนาระบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ให้แก่ภาคส่วนต่างๆ เช่น ธุรกิจบริการส่งอาหาร ในรูปแบบโครงการนำร่องทั้งในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซียและประเทศไทย ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ทำให้ปริมาณของพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 โดยส่วนใหญ่มาจากภาคการจัดส่งอาหาร ซึ่งเราสามารถทดแทนด้วยการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทั้งนี้ เราได้แนะนำระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) กล่าวคือ ผู้บริโภคสามารถส่งคืนภาชนะบรรจุให้แก่ผู้ผลิตเพื่อนำไปผ่านกระบวนการทำความสะอาด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าถูกสุขอนามัยแล้ว และนำกลับมาใช้ซ้ำ
กิจกรรมทางธุรกิจหรือการลงทุนประเภทใดที่คุณแนะนำเพื่อส่งเสริมการใช้พลาสติกที่ใช้ซ้ำได้ ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค?
ข้อมูลตัวเลขจากมูลนิธิ Ellen MacArthur บ่งชี้ว่า การใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแทนที่การใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเพียงแค่ร้อยละ 20 ก็สามารถลดปริมาณพลาสติกลงได้ถึง 6 ล้านตัน นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับภาคธุรกิจในการลงทุนด้านนี้
บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ำได้ในตลาดโลกคาดว่าจะเติบโตจาก 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ.2561 เป็น 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปีพ.ศ. 2569 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการลงทุนที่มีศักยภาพมากสำหรับภาคธุรกิจ นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างงานและมีประโยชน์ที่ตามมาอีกมากมาย เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงมากสำหรับการทำสตาร์ทอัพรุ่นใหม่เพราะเป็นประเทศที่มีการใช้งานระบบดิจิทัลกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) และกระบวนการรักษาคุณค่า
ตัวอย่างเช่น หนึ่งในโอกาสที่เราจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้นมาได้ คือ การเลิกใช้บรรจุภัณฑ์ในขั้นแรกก่อน เพื่อเปิดโอกาสให้ไอเดียของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามา หรือระบบการจัดส่งในรูปแบบอื่นๆ เช่น ระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับและการเก็บรวบรวมพลาสติก เป็นต้น
กรมควบคุมมลพิษของไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการสำหรับกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ซึ่งจะถ่ายโอนความรับผิดชอบด้านต้นทุนในการเก็บรวบรวมและคัดแยกพลาสติกจากชุมชนและภาครัฐไปยังภาคเอกชน ผู้ก่อมลพิษที่นำพลาสติกเข้าสู่ระบบต้องเป็นผู้จ่าย ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศเยอรมนี บริษัทต่างๆ ต้องพิสูจน์ว่าได้มีการเก็บรวบรวมและการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่อย่างน้อยร้อยละ 80 ของพลาสติกที่พวกเขานำเข้าสู่ตลาด ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเก็บรวบรวม การคัดแยก และการนำกลับมาใช้ใหม่กลายมาเป็นโอกาสในการลงทุนอย่างมหาศาล
วัสดุทางเลือกถือเป็นอีกหนึ่งโอกาส ซึ่งประเทศไทยมีการทำสตาร์ทอัพที่สามารถเปลี่ยนของเสียทางการเกษตรให้เป็นภาชนะที่ย่อยสลายได้ แม้จะใช้งานได้ครั้งเดียวแต่ก็ช่วยได้มาก ถือว่าได้ประโยชน์เป็นสองเท่าเพราะของเสียทางการเกษตรที่ปกติแล้วจะถูกเผาจนก่อให้เกิดมลพิษ ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและย่อยสลายได้ทดแทนการใช้พลาสติก ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ชั้นเยี่ยมและเป็นโอกาสในการลงทุนที่ชาญฉลาด
เศรษฐกิจหมุนเวียนให้ประโยชน์อะไรในแง่ของการสร้างงานหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆ บ้าง?
เศรษฐกิจหมุนเวียนสามารถสร้างโอกาสได้อย่างมหาศาล แต่โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นวาระในเชิงนวัตกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนในโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็สร้างความยืดหยุ่นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงของการระบาดของโควิด-19 ทรัพยากรบางอย่างในตลาดโลกขาดแคลนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เข้มแข็ง หมายถึง การที่เรารักษาทรัพยากรต่างๆ ไว้ในระบบเศรษฐกิจให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และทำให้เรามีความสามารถในการปรับตัวได้มากขึ้น
โอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยในการลงทุนในเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ การที่คุณมีนักออกแบบที่มีความสามารถ มีศักยภาพด้านนวัตกรรม และคนรุ่นใหม่ที่โตมากับยุคดิจิทัลและมีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาโมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ผมเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่สูงมากที่จะก้าวนำประเทศอื่นๆ ได้ในเรื่องนี้
มหาอำนาจของโลกอย่างสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และในตอนนี้แม้แต่จีนเองกำลังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น โดยเพิ่มความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในส่วนของประเทศไทยจะเร่งการพัฒนาโมเดลธุรกิจสีเขียวได้อย่างไร?
ต้องเข้าใจว่าเราทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน เผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน เรามีโลกใบเดียว และหากเราไม่พยายามที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว เราทุกคนก็จะได้รับผลกระทบที่เลวร้ายตามมาเช่นกัน
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับเอาแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ จากดำเนินงานร่วมกับรัฐบาลเยอรมนีในช่วงหลายปีมานี้ ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากในการดำเนินงานตามการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) และเราหวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาและการปรับปรุงเพิ่มเติมในด้านการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาการสูญเสียอาหารในขั้นตอนการผลิต การเก็บเกี่ยว การแปรรูป (food loss) และมลพิษจากภาคอุตสาหกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง การผลิต และการทำเหมืองแร่
บทสัมภาษณ์นี้ ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารของ Thailand Investment Review (TIR)
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้จัดทำวารสารภาษาอังกฤษ Thailand Investment Review (TIR) เรื่อง “Thailand’s Bio-Circular and Green Economy: Living up to Global Challenges” ประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจดังนี้
- Thailand’s advancement in BCG sectors and the government’s action plans
- Investment opportunities in BCG sectors
- Updates of Thailand’s carbon credit market
คลิกอ่านฉบับเต็มได้ที่นี่ https://www.boi.go.th/upload/ejournal/2021/Vol31/June/index.html#p=1
มร. ไค ฮอฟมันน์
อีเมล:kai.hofmann1(at)giz.de