หลายครั้งที่คนกล่าวว่าการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรมเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ แต่ภาคเกษตรก็ยังคงมีการใช้สารเคมีอยู่ในปริมาณมากและอย่างต่อเนื่อง
ตัวแทนจากภาครัฐและเอกชน 4 ท่าน ที่ได้เข้าร่วมประชุมยกร่างการพัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชในประเทศไทย ครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ได้พูดถึงบทบาทและความรับผิดชอบของตนในการอยู่ในโลกที่เกษตรกรรมยังคงพึ่งพาสารเคมี เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวเกษตรกรเองและผู้บริโภค รวมถึงการลดผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
คุณรุ่งฤดี จงสืบศักดิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ การลงทะเบียนเคมีเกษตร บริษัท BASF
“การเปลี่ยนความคิดคนไม่ใช่ทำกันง่ายๆ เพียงเพราะแค่ได้ผ่านการฝึกอบรมหรือเวิร์คช็อป การที่จะให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมี และหันมาใช้ชีวภัณฑ์ที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมในการควบคุมศตรูพืช เกษตรกรต้องเห็นว่าเขาจะได้อะไรถ้าเขาเปลี่ยน เขาต้องเข้าใจว่าการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชนั้นแม้จะไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้รวดเร็วดังใจที่ต้องการ แต่ตัวเขาเองจะมีสุขภาพที่ดีขึ้นเป็นผลตอบแทน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องย้ำตลอดระหว่างการจัดอบรมให้กับเกษตรกร
สำหรับ BASF แล้ว ถึงแม้ว่าบริษัทจะเป็นที่รู้จักในเรื่องของสารเคมี แต่ทางบริษัทต้องการส่งเสริมวิธีการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน [Integrated Pest Management: IPM] โดยการใช้ชีวภัณฑ์เพื่อปกป้องพันธุ์พืชควบคู่กับสารเคมี ทางบริษัทจะจัดอบรบเพื่อส่งเสริมวิธีการ IPM นี้ให้กับเกษตรกรในประเทศไทย และบอกให้เขารู้ถึงวิธีการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย”
คุณศรุต สุทธิอารมณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารศัตรูพืช กรมวิชาการเกษตร
“หนึ่งในอุปสรรคของการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์เพื่อปกป้องพืชเกษตรในประเทศไทย คือ เราขาดความสามารถในการผลิตชีวภัณฑ์ฯ เหล่านี้ในปริมาณมากเพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกร เวลากรมฯ จัดโครงการนำร่องเพื่อสนับสนุนเกษตรกร ให้ใช้ชีวภัณฑ์ฯ เกษตรกรมักจะให้การตอบรับที่ดี แต่หลังจากโครงการฯ จบลง ทางเราไม่สามารถผลิตของได้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรที่สนใจใช้ชีวภัณฑ์ฯ
ณ ตอนนี้ มีเพียงกรมวิชาการเกษตรในกรุงเทพฯ เท่านั้นที่ผลิตชีวภัณฑ์ฯ ให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ ทางกรมฯ จึงกำลังทำโครงการเพื่อจะกระจายการผลิตให้ได้ในทั่วประเทศ ซึ่งในทุกจังหวัดก็มีกรมวิชาเกษตรของจังหวัดอยู่แล้ว และตามหลักแล้วในแต่ละหน่วยงานควรสามารถผลิตชีวภัณฑ์ฯ และแจกจ่ายให้เกษตรกรได้เอง แต่ก็มีเรื่องข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและทรัพยากรบุคลากร ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอย่างที่กรมฯ เองก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน เวลาพูดถึงการถ่ายทอดความรู้และเทคนิคต่างๆ เราก็ต้องดูด้วยว่าเรามีบุคลากรเพียงพอในการจัดฝึกอบรมให้กับหน่วยงานทั่วประเทศหรือไม่ และหน่วยงานในแต่ละจังหวัดนั้นมีบุคลากรพร้อมที่จะรับการฝึกอบรมหรือเปล่า รวมทั้งมีความพร้อมในการลงทุนเรื่องของสถานที่ อุปกรณ์ และเครื่องมือด้วยไหม”
คุณวินัย ปิติยนต์ ที่ปรึกษา บริษัทห้องปฏิบัติการกลาง ประเทศไทย จำกัด
“ผู้ผลิตชีวภัณฑ์ฯ ต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และต้องมีการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานจากหน่วยงานที่เป็นกลางเพื่อรับรองคุณภาพ และมาตรฐานให้เป็นไปตามแบบสากล ถึงแม้ว่าจะต้องออกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเอง และยังไม่ได้มีข้อกำหนดบังคับจากภาครัฐ แต่ก็เป็นการบอกถึงความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่มีต่อผู้บริโภค และผู้ผลิตเองก็ไม่ต้องกังวลถ้าหากกรมวิชาการเกษตร หรือหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐและภาคเอกชน จะทำการสุ่มตรวจสอบผลิตภัณฑ์ฯ ที่มีการวางขายอยู่ตามท้องตลาด”
ดร. พยอม โคเบลลี่ นักวิชาการเกษตร ชำนาญการพิเศษ กรมการข้าว
“เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นศัตรูพืชเจ้าปัญหาในการเกษตร และการใช้สารเคมีกำจัดนั้นก็ไม่ได้ผล มีแต่จะเพิ่มให้แมลงสร้างความต้านทานสารเคมียิ่งขึ้น ในประเทศไทยยังไม่มีชีวภัณฑ์ควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่ได้การรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งการพัฒนาชีวภัณฑ์ฯ ที่ผลิตในท้องถิ่นนั้นมีความจำเป็นมาก เพราะเหมาะที่จะจัดการศัตรูพืชที่เกิดในท้องถิ่นได้มากกว่า และตอนนี้ทางกรมการข้าวได้มีการทำวิจัยเรื่องเทคโนโลยีการผลิตชีวภัณฑ์ควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชในบริบทของประเทศ”